"นั่งก็เจ็บ ลุกก็เจ็บ เดินก็เจ็บ"
คงไม่ดีแน่ถ้ามีอาการแบบนี้ "ข้อเข่าเสื่อม" เป็นอาการที่เกิดขึ้นมากในกลุ่มประชาชนชาวเอเชีย คาดว่า ปัจจุบันจะมีคนไทยมีปัญหาโรคข้อเสื่อม กระดูกพรุนประมาณ 7 ล้านคน กลุ่มที่พบมากที่สุดคือ ผู้สูงอายุ "ข้อ" เปรียบเหมือนบานพับในร่างกาย หากใช้งานมากโอกาสที่จะเสื่อมเร็วกว่าปกติก็เกิดขึ้นได้มาก โรคข้อเข่าเสื่อม มักพบในผู้สูงอายุ และเกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เจอในคนอ้วนมากกว่าคนผอม และสามารถพบในผู้ที่ชอบเล่นกีฬาหนักๆ รวมทั้งโรคอื่นๆ เช่น โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และการติดเชื้อในข้อเข่า น.พ.พัชรพล อุดมเกียรติ ภาควิชาศัลยศาสตร์ ออร์โธปิดิกส์ศิริราชพยาบาล อธิบายให้ฟังว่า ภายในหัวเข่าของทุกคนจะมีกระดูกอ่อนหุ้มที่ปลายข้อกระดูกบริเวณที่จะสัมผัสกันหนาประ มาณ 3-4 มิลลิเมตร โดยจะมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน หากเข่าต้องรับน้ำหนักมากหรือมีแรงเบียดกดทับมาก ก็จะทำให้เกิดการเสียดสีมาก กระดูกอ่อนผิวข้อก็จะถูกทำลายไป ดังนั้น เจ็บแปลบคือสัญญาณเตือน
เข่าพังซ่อมไม่ได้
"ข้อเข่าไม่เหมือนกระดูกชนิดอื่นในร่างกายที่เมื่อรับแคลเซียมเข้าไปในร่างกาย ก็ซ่อมแซม สะสม แคลเซียมไว้ได้ แต่ข้อเข่าเมื่อเกิดการสึกหรอแล้ว จะค่อยๆ สึกหรอไปเรื่อยๆ จึงต้องใช้อย่างทะนุถนอม ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ เช่น ลดน้ำหนัก 5% ของน้ำหนักขณะนั้น หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ก่อการบาดเจ็บ และควรพบแพทย์เมื่อมีอาการปวดหัวเข่า เพื่อให้สามารถดูแลและยืดอายุการใช้งานข้อเข่าได้นานขึ้น และบางครั้งอาการเจ็บเข่าก็เป็นสัญญาณบอกของโรคอื่นได้ โดยเฉพาะอาการข้อสะโพกอักเสบ ซึ่งมักพบในคนอายุน้อยมากกว่า คิดเป็น 3-4%"
กายวิภาคของข้อกระดูก ข้อบริเวณต่างๆ จะมีลักษณะเป็นข้อต่อระหว่างกระดูก 2 ชิ้น มาอยู่ใกล้กัน และเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกันในบริเวณข้อนี้จะประกอบไปด้วย กระดูกอ่อน ( Articular cartilage ) ซึ่งมีลักษณะเป็นชั้นบางๆที่อยู่บนส่วนปลายของกระดูก ซึ่งจะมี ไกลโคซามีโนไกลแคน ( Glycosaminoglycans ) เป็นส่วนประกอบ หน้าที่ของกระดูกอ่อนชั้นบางๆนี้ก็คือ จะทำให้ผิวสัมผัสระหว่างกระดูก 2 ชิ้นมีความเรียบ เมื่อมีการเคลื่อนไหวก็จะเกิดการติดขัดน้อยที่สุด อาการที่มักจะปรากฎของโรคข้อเสื่อม
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณข้อต่อ ปวดลึกๆภายในข้อ และเคลื่อนไหวลำบาก เนื่องจากกระดูกอ่อนที่หุ้มข้อต่อ (Articular cartilage) เป็นแผล สาเหตุเนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปกดทับ หรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การสร้างมวลกระดูกอ่อ่น (Articular Cartilage) ลดลง
อาการอื่นๆที่บ่งบอกว่าเป็นโรคข้อเสื่อม - มักจะปวดมากเวลางอเข่า เช่น นั่งคุกเข่า พับเพียบ นั่งขัดสมาธิ ก้าวขึ้นบันได
- เวลาเหยียดเข่าตรงจะปวดน้อยลง
- เมื่อจับเข่าโยกไปมา มักจะมีเสียงดัง กรอบแกรบ
- ในรายที่เป็นมาก อาจจะมีอาการบวม และน้ำขังอยู่ภายในได้
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคข้อเสื่อม - ชายหญิงที่อายุเกิน 45 ปีขึ้นไป แต่ผู้ที่อายุน้อยกว่านี้ก็สามารถเกิดโรคข้อเสื่อมขึ้นได้ โดยพบว่า ก่อนอายุ 45 ปี การเกิดโรคข้อเสื่อมจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่เมื่ออายุเลย 45 ปี อัตราการเกิดโรคข้อเสื่อมจะเท่ากัน
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
- ผู้ที่มีประวัติบาดเจ็บบริเวณข้อต่อ
การักษา - การรักษาทางกายภาพ ได้แก่ การออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก
- การรักษาด้วยการรับประทานยา
- การรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อ
การรับประทานยา - เพื่อลดอาการปวดให้แก่คนไข้ โดยการใช้ยาแก้ปวดและยาลดอาการอักเสบ วิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขที่สาเหตุของโรคได้ แต่มีข้อดีคือ ลดอาการปวดได้รวดเร็ว
- ช่วยให้โครงสร้างของข้อกระดูกกลับคืนสู่ปกติ วิธีนี้จะสามารถรักษาที่สาเหตุของโรคได้ แต่มีข้อด้อยคือ ลดอาการปวดได้หลังจากการใช้ยาไปแล้ว 2 สัปดาห์ จึงแนะนำให้ทานร่วมกับ ยาลดอาการปวดใน 2 สัปดาห์แรก เพื่อลดอาการปวดในช่วงต้น ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ กลูโคซามีน
การเกิดโรคข้อเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร ปกติแล้วร่างกายคนปกติไม่เป็นโรคข้อเสื่อม การสร้างมวลกระดุกอ่อนจะสมดุลย์กับเอนไซม์ที่มีหน้าที่ทำลายมวลกระดูกอ่อน
แต่ในร่างกายคนที่เป็นโรคข้อเสื่อมพบว่า การสร้างมวลกระดูกอ่อ่นลดลงและเอนไซม์ที่มีหน้าที่ทำลายมวลกระดุกอ่อ่นจะทำงานมากกว่าปกติ ทำให้เกิดรอยแผลถลอดบนผิวของกระดูกที่สัมผัสกันทำให้เรารู้สึกปวด และขัดเวลาเดน หากเป็นมากจะมีอาการบวมแดงที่ข้อและไม่สามารถเดินได้หรือเดินไม่สะดวก
การรักษาในปัจจุบันด้วยการใช้ กูลโคซามีน เนื่องจากกูลโคซามีน มีกลไกการออกฤทธิ์ที่แก้ไขโดยตรงยังต้นเหตุของโรคข้อเสื่อม จึงเป็นที่นิยมในวงการแพทย์ในปัจจุบัน ในการพิจารณาเลือกเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาที่สาเหตุของคนไข้
กลไกการทำงานของกูลโคซามีนเป็นอย่างไรในการรักษาโรคข้อเสื่อม กูลโคซามีนจะกระตุ้นการสร้าง แมททริกซ์ (Cartilage matrix ) จึงมีผลต่อการสร้างกระดูกอ่อนซึ่งมีลักษณะเป็นชั้นบางๆที่อยู่บนส่วนปลายของกระดูก และลดการทำงานของ เอนไซม์ ที่ย่อยสลายส่วนประกอบของ แมททริกซ์ ผลจากกลไกในการสร้างและลดการทำลายจึงส่งผลให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ผู้ป่วยก็จะมีอาการเคลื่อนไหวข้อที่ดีขึ้น อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวก็จะลดลงไปในที่สุด
การรักษาในปัจจุบันด้วยการใช้กลูโคซามีน |
ขนาด 500 มก. | ขนาด 1,500 มก. | ระยะเวลาทานยา |
1 เม็ด 3 เวลา | วันละ 1 ซอง | ต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ |
การศึกษาทางคลีนิก คนไข้ใน 80 คนที่มีอาการปวดจากโรคข้อเสื่อม ศึกษา 30 วัน ขนาดที่ใช้ 500 มก. วันละ 3 เวลา ผลการศึกษา 70% ของคนไข้ มีอาการดีขึ้นจากการข้อตึง บวม ปวด และสามารถขยับได้ดีขึ้น ภายใน 2 สัปดาห์ สรุปได้ว่ากูลโคซามีน มีฤทธิ์เด่นในการป้องกันการเสียหายของข้อ มากกว่าการรักษาอาการปวดและอักเสบ ใช้กูลโคซามีน ขนาด 1500 มก. วันละ 1 ครั้ง ในคนไข้ ปวดเข่า 202 คน เป็นเวลาต่อเนื่อง 3 ปี ผลการศึกษาในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก จำนวน 106 คน ครบ 3ปี ช่องว่างระหว่างข้อจะแคบลง ในกลุ่มที่ได้รับยา กูลโคซามีน จำนวน 106 คน ครบ 3 ปี ช่องว่างระหว่างข้อไม่แคบลงเลย
เพื่อเป็นคำตอบที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพของข้อให้สามารถใช้งานได้ดีและอย่างมีคุณภาพ ควรออกกำลังกายและใช้งานในการเคลื่อนไหวต่างๆอย่างถูกท่าถูกวิธี รวมถึงการดูแลตนเองด้วยวิธีการรักษาโดยการเลือกรับประทาน กูลโคซามีน เพื่อที่จะช่วยรักษาสมดุลย์ของการสร้างและการทำลายของ กระดูกอ่อน ที่บุบอยู่บนส่วนปลายของข้อกระดูก เพียงเท่านี้คุณก็ได้แก้ไขที่ต้นเหตุของโรคและสามารถดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคข้อเสื่อม ได้ด้วยตนเอง
Call : ชนิตา (085-3303622 / 086-3661318) http://chanita.epayfriend.com |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น